มีเรื่องเล่าว่า… ในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1525 ณ เมืองซาร่อนโน่อันแสนเงียบสงบ ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกสีของโบสถ์ซานตา มาเรีย เดลเล กราเซีย ศิลปินหนุ่มนาม เบอร์นาร์ดิโน่ ลุอินี่ ศิษย์เอกของเลโอนาร์โด ดา วินชี กำลังครุ่นคิดอย่างหนัก…
“ข้าจะวาดพระแม่มารีให้งดงามที่สุดได้อย่างไร?” เขาพึมพำกับตัวเอง ขณะที่มือข้างหนึ่งกำแปรงวาดภาพแน่น
ณ อีกฟากของเมือง หญิงสาวนิรนามคนหนึ่งหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นแม่ม่ายสาวรูปงาม ไม่มีใครล่วงรู้ชื่อจริงของเธอ ทว่า ความงดงามของเธอเป็นที่เลื่องลือไปทั่วหุบเขาลอมบาร์ดี
วันหนึ่ง โชคชะตาได้พาทั้งสองมาพบกัน… เบอร์นาร์ดิโน่หยุดชะงักเมื่อสายตาสบเข้ากับดวงตาคู่สวยของหญิงสาวนิรนาม แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนและพลังลึกลับบางอย่าง ทำให้เขารู้ทันทีว่า—เธอคือแบบของพระแม่มารีที่เขาตามหา
“ข้าขอร้องท่าน” เบอร์นาร์ดิโน่คุกเข่าลงต่อหน้าหญิงสาว “ได้โปรดเป็นแบบให้ข้าวาดภาพพระแม่มารี”

หญิงสาวรู้สึกปลาบปลื้มและยอมรับคำขอของเขา วันแล้ววันเล่าที่เธอนั่งนิ่งใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่น ขณะที่ศิลปินหนุ่มค่อยๆ ถ่ายทอดความงดงามของเธอลงบนผืนผ้าใบด้วยปลายแปรงอันชำนาญ ความรู้สึกบางอย่างค่อยๆ ก่อตัวในใจของทั้งคู่…
เมื่อภาพวาดเสร็จสิ้น หญิงสาวรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง เธอต้องการตอบแทนศิลปินด้วยสิ่งพิเศษ แต่ไม่มีเงินทองจะมอบให้ เธอจึงย้อนกลับไปที่กระท่อมเล็กๆ ของตน และค้นหาสูตรลับที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ
ในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง เธอเก็บเมล็ดจากต้นแอปริคอตป่าที่เติบโตรอบกระท่อม ค่อยๆ บดเมล็ดอย่างพิถีพิถัน ผสมกับน้ำตาล เหล้าองุ่นที่บ่มไว้นาน และสมุนไพรลับบางชนิด คนทุกอย่างเข้าด้วยกันในหม้อทองแดงเก่าๆ ขณะกระซิบบทสวดโบราณ
“ขอให้เครื่องดื่มนี้มอบความรักและความสุขแก่ผู้ดื่ม เฉกเช่นภาพวาดของท่านได้มอบเกียรติแก่ข้า”
“อะมาเร็ตโต้” สายธารแห่งความหวานขม
รุ่งเช้าวันต่อมา เธอนำขวดเล็กๆ บรรจุของเหลวสีทองอำพันไปมอบให้เบอร์นาร์ดิโน่
“นี่คือ ‘อะมาเร็ตโต้’ เครื่องดื่มแห่งความขมหวาน” เธอกล่าวอย่างเขินอาย “ทำจากเมล็ดแอปริคอตป่าที่ให้กลิ่นคล้ายอัลมอนด์ หวานแต่แฝงความขม… เหมือนความรักที่ไม่อาจเอ่ยปาก”
เบอร์นาร์ดิโน่จิบเครื่องดื่มอย่างช้าๆ รสชาติหวานละมุนและกลิ่นอัลมอนด์อ่อนๆ แผ่ซ่านไปทั่วลำคอ ตามด้วยความขมเล็กน้อยที่ทำให้รสชาติสมดุลอย่างน่าอัศจรรย์ เขารู้สึกอบอุ่นราวกับถูกโอบกอด
“เครื่องดื่มนี้วิเศษนัก!” เขาอุทาน “รสชาติเหมือนกับความรู้สึกของข้าที่มีต่อเจ้า—หวานแต่ไม่มีโอกาสได้ครองคู่…”
หญิงสาวยิ้มเศร้า ก่อนจะหายไปจากเมืองซาร่อนโน่ ทิ้งไว้เพียงตำนานและสูตรเครื่องดื่มลับ ที่ต่อมากลายเป็นเครื่องดื่มโปรดของคนในท้องถิ่น

เส้นทางสู่ความเป็นตำนานระดับโลก
เวลาผ่านไปกว่า 400 ปี… เรื่องราวของศิลปินและหญิงสาวค่อยๆ เลือนหายไปในสายลมแห่งกาลเวลา แต่สูตรเครื่องดื่มยังคงถูกสืบทอดและพัฒนาโดยตระกูลเรอีนา ครอบครัวผู้ผลิตขนมและเบเกอรี่ในเมืองซาร่อนโน่
ปี ค.ศ. 1942 โลกกำลังอยู่ในห้วงแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่ความหวังดูริบหรี่ โดมินิโค เรอีนา ทายาทรุ่นที่เจ็ดของตระกูล ตัดสินใจเปิดร้านกาแฟเล็กๆ เพื่อเป็นที่พักพิงทางใจให้ผู้คน
“คนเราต้องการความหวังและความสุขในยามมืดมิด” เขาบอกกับภรรยา “และไม่มีอะไรจะมอบความสุขได้เท่ากับการจิบเครื่องดื่มที่มีตำนานรักอันงดงามอยู่เบื้องหลัง”
โดมินิโคหยิบสมุดเก่าคร่ำคร่าที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน เปิดไปที่หน้าซึ่งจารึกสูตรลับของอะมาเร็ตโต้ เขาเริ่มผลิตเครื่องดื่มนี้อย่างจริงจัง โดยยังคงใช้วัตถุดิบหลักเหมือนในตำนาน:
- เมล็ดแอปริคอตที่ให้กลิ่นอัลมอนด์เป็นเอกลักษณ์
- อัลมอนด์ขมที่เก็บจากป่าในหุบเขาลอมบาร์ดี
- น้ำตาลจากอ้อยที่นำเข้าจากดินแดนไกลโพ้น
- แอลกอฮอล์ที่กลั่นจากองุ่นในไร่ท้องถิ่น
- สมุนไพรและเครื่องเทศลับบางชนิดที่มีเพียงตระกูลเรอีนาเท่านั้นที่รู้
เขาบรรจุเครื่องดื่มลงในขวดทรงสี่เหลี่ยมประดับฝาสีทอง เพื่อสื่อถึงความมีค่าดั่งทองคำ และเรียกมันว่า “ดิซาร่อนโน่” (Disaronno) เพื่อเป็นเกียรติแก่เมืองกำเนิด
ความมหัศจรรย์เบื้องหลังรสชาติ
กระบวนการผลิตอะมาเร็ตโต้เปรียบเสมือนการปรุงยาวิเศษในนิทาน เริ่มต้นด้วยการคัดเมล็ดแอปริคอตป่าและอัลมอนด์ขมอย่างพิถีพิถัน ก่อนนำไปแช่ในแอลกอฮอล์บริสุทธิ์
“นี่ไม่ใช่แค่การผลิตเครื่องดื่ม” โดมินิโคมักบอกกับลูกน้อง “แต่เป็นการรักษาตำนานความรักให้มีชีวิต”
เมล็ดและแอลกอฮอล์จะถูกแช่หมักในถังไม้โอ๊คเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ระหว่างนั้น จะมีการกระซิบบทสวดดั้งเดิมที่ว่า “อัลมอนโด เดลาโมเร” (Almondo Delamore) หรือ “อัลมอนด์แห่งความรัก” ทุกวันพระจันทร์เต็มดวง
หลังจากแช่หมักจนได้ที่ ของเหลวจะถูกกรองด้วยผ้าไหมและผสมกับน้ำเชื่อม ก่อนบรรจุลงขวดพิเศษที่ออกแบบให้เก็บรักษากลิ่นและรสชาติได้อย่างสมบูรณ์
เรื่องราวและความพิถีพิถันเหล่านี้ไม่เคยถูกเปิดเผยสู่สาธารณะอย่างเต็มที่ สร้างเสน่ห์และความลึกลับให้กับอะมาเร็ตโต้มาโดยตลอด
จากซาร่อนโน่สู่เวทีโลก
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อิตาลีเริ่มฟื้นฟูประเทศ นักท่องเที่ยวจากอเมริกาและยุโรปหลั่งไหลเข้ามาสัมผัสวัฒนธรรมอิตาลี หลายคนได้ลิ้มลองดิซาร่อนโน่และหลงใหลในรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์
ในช่วงทศวรรษ 1960 ครอบครัวเรอีนาตัดสินใจขยายธุรกิจสู่ตลาดโลก พวกเขาเริ่มส่งออกดิซาร่อนโน่ไปยังอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย
“คนทั่วโลกควรได้ลิ้มรสตำนานรักของอิตาลี” อูโก้ เรอีนา ผู้สืบทอดธุรกิจรุ่นที่แปดกล่าว
การเติบโตทางการตลาดของดิซาร่อนโน่เป็นไปอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 1970 เมื่อนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต่างหลงใหลในเสน่ห์ของเครื่องดื่มสีอำพันในขวดทรงสี่เหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์

กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการดื่ม
ด้วยรสชาติที่หวานละมุนและกลิ่นอัลมอนด์อันเข้มข้น อะมาเร็ตโต้จึงเหมาะสำหรับดื่มได้หลายโอกาส ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มหลังอาหาร เติมในกาแฟ หรือผสมเป็นค็อกเทล
“อะมาเร็ตโต้ซาวร์” คือหนึ่งในค็อกเทลยอดนิยม ที่ผสมระหว่างอะมาเร็ตโต้กับน้ำมะนาวสด สร้างความสมดุลระหว่างความหวานและความเปรี้ยว คล้ายกับความสุขและความเศร้าในชีวิตรัก
“ก็อดฟาเธอร์” อีกหนึ่งค็อกเทลที่ได้รับความนิยม ผสมระหว่างอะมาเร็ตโต้กับวิสกี้ สร้างความแกร่งและนุ่มนวลในคราวเดียวกัน ราวกับบุรุษผู้แข็งแกร่งที่มีหัวใจอ่อนโยน
“อิตาเลียน ซันเซ็ท” ค็อกเทลสีสันสดใสที่ผสมอะมาเร็ตโต้กับน้ำส้มและเกรนาดีน ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งชมพระอาทิตย์ตกดินริมชายฝั่งซิซิลี
เติมเต็มศิลปะแห่งการปรุงอาหาร
อะมาเร็ตโต้ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องดื่มเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญในโลกของขนมหวานและอาหารอิตาเลียน
เชฟชื่อดังทั่วโลกต่างหลงใหลในความสามารถของอะมาเร็ตโต้ที่จะเพิ่มมิติของรสชาติให้กับอาหาร:
- ทิรามิสุ ขนมหวานโด่งดังของอิตาลี เมื่อเติมอะมาเร็ตโต้เล็กน้อย จะได้กลิ่นอัลมอนด์ที่เข้ากันอย่างลงตัวกับกาแฟและชีส
- คุกกี้อัลมอนด์ ที่หอมกรุ่นด้วยกลิ่นอะมาเร็ตโต้ เคี้ยวแล้วละลายในปาก
- ซอสเนื้อ ที่ได้ความลึกซึ้งของรสชาติจากการเติมอะมาเร็ตโต้เพียงเล็กน้อย
“อาหารคือความรัก” มาริโอ บาตาลี เชฟชื่อดังชาวอิตาเลียนเคยกล่าว “และอะมาเร็ตโต้คือการแสดงความรักในรูปแบบของเครื่องดื่ม”
แบรนด์ที่สืบสานตำนาน
แม้ว่าดิซาร่อนโน่จะเป็นแบรนด์อะมาเร็ตโต้ที่มีชื่อเสียงที่สุด แต่ยังมีผู้ผลิตรายอื่นที่สร้างเอกลักษณ์ของตัวเอง:
ลาซซาโรนี่ อะมาเร็ตโต้ ซึ่งอ้างว่าใช้สูตรดั้งเดิมที่แช่คุกกี้อัลมอนด์ในแอลกอฮอล์ แทนการใช้เมล็ดแอปริคอต สร้างรสชาติที่แตกต่างอย่างเป็นเอกลักษณ์
เดคุยเปอร์ อะมาเร็ตโต้ แบรนด์ที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าด้วยราคาที่ย่อมเยา เหมาะสำหรับการผสมค็อกเทลหลากหลายรูปแบบ
ลุกซาร์โด้ อะมาเร็ตโต้ จากผู้ผลิตเหล้าลิเคียวร์ชื่อดังของอิตาลี ที่มุ่งเน้นคุณภาพและความเข้มข้นของรสชาติ
โกซิโอ อะมาเร็ตโต้ ที่ยังคงผลิตแบบดั้งเดิมและเน้นคุณภาพสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสรสชาติใกล้เคียงกับต้นตำรับมากที่สุด
ค้นพบรสชาติแห่งตำนานรัก
อะมาเร็ตโต้ไม่ใช่แค่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ธรรมดา แต่เป็นประสบการณ์การดื่มที่ผสมผสานระหว่างประวัติศาสตร์ ตำนานรัก และวัฒนธรรมอิตาเลียนเข้าด้วยกัน
ทุกครั้งที่คุณจิบอะมาเร็ตโต้ นึกถึงเรื่องราวของศิลปินหนุ่มและหญิงสาวในเมืองซาร่อนโน่ ความรักที่ไม่อาจเอ่ยปาก แต่ถูกถ่ายทอดผ่านรสชาติของเครื่องดื่มแห่งความรัก
ไม่ว่าคุณจะดื่มอะมาเร็ตโต้เดี่ยวๆ ผสมในค็อกเทล หรือใช้ปรุงอาหาร คุณกำลังสัมผัสกับมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมากว่า 500 ปี

คำถามที่พบบ่อย
Q: อะมาเร็ตโต้มีปริมาณแอลกอฮอล์เท่าไร? A: อะมาเร็ตโต้มีดีกรีแอลกอฮอล์ประมาณ 21-28% โดยปริมาตร ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับปานกลางถึงค่อนข้างสูงสำหรับลิเคียวร์
Q: สามารถหาซื้ออะมาเร็ตโต้ได้ที่ไหน? A: อะมาเร็ตโต้มีจำหน่ายในร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั่วไป ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ และร้านออนไลน์
Q: คนที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์สามารถใช้อะมาเร็ตโต้ในการทำอาหารได้หรือไม่? A: มี! เมื่อใช้ในการทำอาหารที่ต้องผ่านความร้อน แอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะระเหยไป เหลือเพียงกลิ่นและรสชาติอัลมอนด์อันเป็นเอกลักษณ์
Q: อะมาเร็ตโต้เก็บได้นานแค่ไหน? A: เมื่อปิดฝาให้สนิทและเก็บในที่เย็นและแห้ง อะมาเร็ตโต้สามารถเก็บได้นานหลายปีโดยไม่เสียรสชาติ แต่เมื่อเปิดขวดแล้ว ควรดื่มภายใน 1-2 ปี เพื่อรักษารสชาติที่ดีที่สุด
Q: เมืองซาร่อนโน่มีสถานที่ท่องเที่ยวเกี่ยวกับอะมาเร็ตโต้หรือไม่? A: มี! หากคุณมีโอกาสได้ไปเยือนเมืองซาร่อนโน่ คุณสามารถเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์และโรงงานของดิซาร่อนโน่ รวมถึงสัมผัสประวัติศาสตร์อันยาวนานของเครื่องดื่มแห่งตำนานรักนี้
หากคุณหลงใหลในเรื่องราวอันน่าหลงใหลของอะมาเร็ตโต้ และต้องการสัมผัสรสชาติแห่งตำนานรัก ลองหาซื้อขวดมาติดบ้านไว้สักขวด ไม่ว่าจะเพื่อเสิร์ฟแขกพิเศษ หรือเพื่อใช้ในการทำอาหารและขนมหวาน อะมาเร็ตโต้จะเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้กับทุกโอกาสพิเศษของคุณอย่างแน่นอน