แสงสีอำพันส่องผ่านของเหลวในแก้วใบเล็ก เมื่อเจ้าของร้านเทเครื่องดื่มสีแดงเข้มลงไปอย่างช้าๆ กลิ่นหอมของสมุนไพรและเครื่องเทศลอยฟุ้งในอากาศ… นี่แหละคือ “เวอร์มุต” เครื่องดื่มที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าสองพันปี แต่กลับถูกลืมเลือนไปในบางยุคสมัย ก่อนจะกลับมาครองใจนักดื่มทั่วโลกอีกครั้งในปัจจุบัน
จากตำรายาโบราณสู่แก้วค็อกเทลระดับตำนาน
หากย้อนกลับไปในห้วงเวลาแห่งอดีต เราจะพบว่า เวอร์มุต มีจุดเริ่มต้นไม่ต่างจากตำรายาโบราณ ในยุคโรมันโบราณ ชาวบ้านมักจะปรุงไวน์ด้วยสมุนไพรและน้ำผึ้งเพื่อปรับปรุงรสชาติของไวน์ที่ไม่ค่อยดีนัก (จะว่าไป พวกเขาคงเป็นมิกโซโลจิสต์ยุคแรกๆ ของโลกก็ว่าได้)
ชื่อ “เวอร์มุต” นั้นมาจากคำว่า “Wermut” ในภาษาเยอรมัน ซึ่งหมายถึงสมุนไพร “แอบซินธ์” หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “wormwood” ตัวนี้แหละที่เป็นพระเอกในตำรับดั้งเดิม เป็นสมุนไพรที่ชาวโบราณเชื่อว่ามีสรรพคุณในการรักษาโรคและเสริมความแข็งแรง
แต่เวอร์มุตแบบที่เรารู้จักในปัจจุบันนั้น ไม่ได้ถือกำเนิดจนกระทั่งศตวรรษที่ 18 ในดินแดนที่เต็มไปด้วยเนินเขาอันเขียวขจีของภูมิภาคพีดมอนต์ ประเทศอิตาลี

วีรบุรุษแห่งวงการเวอร์มุต
เรื่องราวของเวอร์มุตยุคใหม่เริ่มต้นในค่ำคืนอันหนาวเหน็บของปี ค.ศ. 1786 ณ เมืองตูริน ประเทศอิตาลี เมื่อชายหนุ่มนามว่า อันโตนิโอ เบเนเด็ตโต คาร์ปาโน (Antonio Benedetto Carpano) ได้เริ่มทดลองปรุงไวน์ด้วยสมุนไพรและเครื่องเทศนานาชนิด
คาร์ปาโนคงไม่เคยคิดว่าการทดลองในคืนนั้นจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมใหม่ และสูตรเวอร์มุทหวาน (Sweet Vermouth) ของเขาจะกลายเป็นรากฐานสำคัญของวงการค็อกเทลในเวลาต่อมา
ความสำเร็จของคาร์ปาโนสร้างแรงบันดาลใจให้ โจเซฟ โนลลี (Joseph Noilly) ชาวฝรั่งเศสคิดค้นสูตรเวอร์มุทแห้ง (Dry Vermouth) ในปี ค.ศ. 1813 ซึ่งมีรสชาติที่แห้งกว่าและมีความหวานน้อยกว่าแบบอิตาเลียน เปรียบเสมือนการแต่งเติมเรื่องราวให้วงการเวอร์มุทมีมิติมากขึ้น
บทต่อมาของประวัติศาสตร์เวอร์มุต คือการก่อตั้งบริษัทผลิตเวอร์มุทชั้นนำที่หลายแบรนด์ยังคงเป็นตำนานมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น Martini & Rossi (1863), Cinzano (1757), Carpano (1786) และ Noilly Prat (1813)
ศิลปะแห่งการปรุงเวอร์มุต
การผลิตเวอร์มุตไม่ใช่เพียงการผสมวัตถุดิบเข้าด้วยกัน แต่เป็นเสมือนศิลปะที่ต้องอาศัยความชำนาญและความพิถีพิถัน
เวอร์มุตเริ่มต้นจากไวน์ขาวคุณภาพดี (บางครั้งอาจใช้ไวน์แดง) จากนั้นจึงเสริมด้วยแอลกอฮอล์กลั่นเพื่อหยุดการหมัก และปรุงแต่งด้วยส่วนผสมลับเฉพาะของแต่ละผู้ผลิต ที่อาจประกอบด้วยสมุนไพร เครื่องเทศ ดอกไม้ รากไม้ เปลือกไม้ เมล็ด และผลไม้มากกว่า 30 ชนิด
กระบวนการผลิตเวอร์มุตเป็นเหมือนการปรุงอาหารของเชฟระดับมิชลิน ต้องมีการคัดสรรวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน หมักหรือสกัดสมุนไพรในแอลกอฮอล์ ผสมกับไวน์ เติมแอลกอฮอล์และน้ำตาลในปริมาณที่พอเหมาะ ก่อนจะกรองและบ่มให้รสชาติกลมกล่อม
ความหลากหลายในขวดเดียวกัน
เวอร์มุตมีหลากหลายประเภทให้เลือกดื่ม ราวกับเป็นตัวละครหลายตัวในนิยายเรื่องเดียวกัน:
เวอร์มุทแดง คือพระเอกที่มีบุคลิกหวานล้ำ มีสีแดงเข้มหรือน้ำตาล รสชาติหวาน แบบฉบับของชาวอิตาเลียน มีปริมาณน้ำตาลประมาณ 10-15% และแอลกอฮอล์ 15-18%
เวอร์มุทแห้ง เปรียบเสมือนนางเอกที่มีความเฉียบคม มีสีเหลืองอ่อนถึงใส รสชาติแห้งกว่า มีความหวานน้อย แบบฉบับของชาวฝรั่งเศส
เวอร์มุทบลองค์ คือตัวละครผู้มีเสน่ห์ลึกลับ มีสีใสหรือเหลืองอ่อน รสชาติหวานแต่มีความสดชื่นมากกว่าแบบแดง
เวอร์มุทโรเซ่ คือตัวละครที่เต็มไปด้วยความสดใส มีสีชมพูหรือโรเซ่ รสชาติอยู่ระหว่างแบบแดงและแบบแห้ง
เวอร์มุทแอมเบอร์ คือตัวละครที่มีความลึกซึ้ง มีสีอำพันหรือเหลืองเข้ม รสชาติกลางๆ ระหว่างแบบแดงและแบบแห้ง

ตำนานค็อกเทลที่ไม่มีวันตาย
เวอร์มุทเป็นเหมือนนักแสดงสมทบที่ช่วยให้พระเอกนางเอกในแก้วค็อกเทลโดดเด่นขึ้น ค็อกเทลคลาสสิกที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายชนิดล้วนมีเวอร์มุทเป็นส่วนประกอบสำคัญ:
มาร์ตินี่ (Martini) แก้วทรงสามเหลี่ยมอันเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหรา เมื่อเวอร์มุทแห้งผสมกับจิน
แมนฮัตตัน (Manhattan) ค็อกเทลที่คงความคลาสสิกเหมือนตึกระฟ้าในนิวยอร์ก จากการผสมผสานของเวอร์มุทแดงกับวิสกี้
เนกโรนี่ (Negroni) ค็อกเทลสีแดงสดจากอิตาลีที่มีรสชาติเข้มข้น เกิดจากการรวมตัวของเวอร์มุทแดง จิน และแคมพารี
อเมริกาโน่ (Americano) ค็อกเทลเบาๆ ที่เหมาะสำหรับการจิบช่วงบ่าย ผสมเวอร์มุทแดงกับแคมพารีและโซดา
โรบ รอย (Rob Roy) ค็อกเทลที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนิยายของสก็อตแลนด์ ผสมเวอร์มุทแดงกับสก็อตวิสกี้
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ค็อกเทลเหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างมากในอเมริกาและยุโรป โดยเฉพาะในยุคทองของค็อกเทล
วัฒนธรรมการดื่มเวอร์มุท – มากกว่าการดื่ม คือการใช้ชีวิต
ในประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน เวอร์มุทไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม โดยเฉพาะในอิตาลี สเปน และฝรั่งเศส ที่นิยมดื่มเวอร์มุทเป็นเครื่องดื่มก่อนมื้ออาหาร (aperitif) เพื่อกระตุ้นความอยากอาหาร
ลองนึกภาพชาวสเปนในวันอาทิตย์ยามบ่าย กำลังรวมตัวกันในคาเฟ่เล็กๆ ริมถนน พูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน พร้อมจิบเวอร์มุทในแก้วที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและตกแต่งด้วยผิวส้มอย่างสวยงาม นั่นคือวัฒนธรรม “La Hora del Vermut” หรือ “ชั่วโมงแห่งเวอร์มุท” ที่แสดงให้เห็นว่าเวอร์มุทไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่เป็นโอกาสในการพบปะสังสรรค์และดื่มด่ำกับช่วงเวลาแห่งความสุข
การกลับมาของตำนาน – เวอร์มุทในยุคปัจจุบัน
หลังจากที่เวอร์มุทมีความนิยมลดลงในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เหมือนนางเอกที่หายไปจากจอภาพยนตร์ ปัจจุบันได้มีการฟื้นฟูความนิยมอีกครั้งพร้อมกับกระแสความนิยมของค็อกเทลคลาสสิก
วงการเครื่องดื่มยุคใหม่ได้เห็นการเกิดขึ้นของเวอร์มุทแบบ craft หรือ artisanal จากผู้ผลิตรายเล็กที่เน้นคุณภาพและความเป็นเอกลักษณ์ของวัตถุดิบท้องถิ่น เหมือนนักแสดงหน้าใหม่ที่เข้ามาท้าทายดาราเก่าอย่างแบรนด์ใหญ่ดั้งเดิม
บาร์เทนเดอร์ชั้นนำทั่วโลกกำลังค้นพบคุณค่าของเวอร์มุทอีกครั้ง และสร้างสรรค์ค็อกเทลสูตรใหม่ๆ ที่มีเวอร์มุทเป็นพระเอก เหมือนผู้กำกับภาพยนตร์ที่หยิบตำนานเก่ามาเล่าในมุมมองใหม่

เคล็ดลับการเก็บรักษา – ให้เวอร์มุทของคุณอยู่อย่างมีความสุข
เวอร์มุทเป็นเหมือนดอกไม้ที่สวยงามแต่มีอายุจำกัด หลังจากเปิดขวดแล้ว ควรเก็บในตู้เย็นและดื่มให้หมดภายใน 1-3 เดือน
การเก็บเวอร์มุทไว้นานเกินไปหรือในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น อุณหภูมิสูงหรือถูกแสงโดยตรง จะทำให้รสชาติเปลี่ยนไปและคุณภาพลดลง เหมือนการทิ้งหนังสือนิยายไว้กลางแดด สีและกระดาษย่อมซีดจางไปตามกาลเวลา
บทส่งท้าย – เวอร์มุท มากกว่าเครื่องดื่ม คือประวัติศาสตร์ในแก้ว
เวอร์มุทมีแอลกอฮอล์ประมาณ 15-18% โดยปริมาตร ซึ่งต่ำกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กลั่น ทำให้เป็นทางเลือกที่นุ่มนวลกว่าสำหรับผู้ที่ต้องการดื่มแบบชิลๆ
สมุนไพรบางชนิดในเวอร์มุท เช่น wormwood มีสรรพคุณทางยาตามตำรายาโบราณ โดยเชื่อว่าช่วยเรื่องการย่อยอาหาร แก้ปวดท้อง และกระตุ้นความอยากอาหาร อย่างไรก็ตาม ควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ เนื่องจากยังคงมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ
ทุกครั้งที่คุณจิบเวอร์มุท ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบค็อกเทลหรือดื่มเดี่ยวๆ ลองนึกถึงเรื่องราวอันยาวนานที่บรรจุอยู่ในแก้วใบนั้น จากยาสมุนไพรโบราณสู่เครื่องดื่มหรูในยุคปัจจุบัน จากตูรินสู่ทั่วทุกมุมโลก และจากผู้คนแต่ละยุคสมัยที่ได้มีส่วนร่วมในการเขียนประวัติศาสตร์ของเวอร์มุต
เวอร์มุตไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่เป็นตำนานที่มีชีวิต เป็นประวัติศาสตร์ในแก้ว และเป็นวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน… ดังนั้น ครั้งหน้าเมื่อคุณได้ลองจิบเวอร์มุท อย่าลืมชื่นชมเรื่องราวอันมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ในของเหลวสีอำพันนั้นด้วย