เสียงแก้วกระทบกันดังกริ๊ง พร้อมกับไอหมอกจากน้ำแข็งที่ละลายในค็อกเทลสีฟ้าใส… คุณเคยสงสัยไหมว่าเครื่องดื่มสีใสในแก้วคริสตัลตรงหน้านั้นมีประวัติความเป็นมาอย่างไร? วันนี้เราจะพาคุณย้อนเวลากลับไปค้นหาเรื่องราวของ “จิน” เครื่องดื่มที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน จากยารักษาโรคสู่เครื่องดื่มที่ครองใจนักดื่มทั่วโลก

ต้นกำเนิดในดินแดนกังหันลม: จุดเริ่มต้นของจินในเนเธอร์แลนด์
ย้อนกลับไปราวศตวรรษที่ 16 ณ แผ่นดินเนเธอร์แลนด์ที่มีกังหันลมพัดหมุนอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ในห้องทดลองเล็กๆ ของหมอชาวดัตช์คนหนึ่ง “ฟรานซิสคัส ซิลวิอุส” กำลังคิดค้นสูตรยารักษาโรคไตที่จะเปลี่ยนประวัติศาสตร์วงการเครื่องดื่มไปตลอดกาล
ในช่วงทศวรรษ 1650 เขาได้ผสมผสานแอลกอฮอล์เข้ากับผลจูนิเปอร์เบอร์รี่ซึ่งเชื่อว่ามีสรรพคุณทางยา สร้างเป็นเครื่องดื่มที่เรียกว่า “เกเนอเวอร์” (Genever) คำว่า “jenever” ในภาษาดัตช์ ซึ่งมาจากภาษาฝรั่งเศส “genièvre” หมายถึงจูนิเปอร์เบอร์รี่นั่นเอง
เกเนอเวอร์ดั้งเดิมมีรสชาติแตกต่างจากจินที่เราคุ้นเคยในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง มันถูกผลิตจากการกลั่นมอลต์ไวน์ (เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากข้าวบาร์เลย์ที่หมักแล้ว) ผสมกับจูนิเปอร์เบอร์รี่และสมุนไพรอื่นๆ ทำให้มีรสชาติที่คล้ายคลึงกับวิสกี้มากกว่าจินสมัยใหม่
การเดินทางข้ามทะเลสู่อังกฤษ: จุดเปลี่ยนที่สำคัญ
เหตุการณ์ที่ทำให้จินได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาสู่อังกฤษเป็นเรื่องของการเมืองและอำนาจราชวงศ์ ในปี ค.ศ. 1688 เจ้าชายวิลเลียมแห่งออเรนจ์ ชาวดัตช์ผู้รักการดื่มเกเนอเวอร์ ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์อังกฤษ นำวัฒนธรรมการดื่มเกเนอเวอร์มาด้วย
ในช่วงเวลาเดียวกัน อังกฤษกำลังมีความขัดแย้งทางการเมืองกับฝรั่งเศส จึงออกมาตรการจำกัดการนำเข้าเหล้าบรั่นดีจากฝรั่งเศส ทำให้จินกลายเป็นทางเลือกทดแทนที่สมบูรณ์แบบ
รัฐบาลอังกฤษถึงกับออกนโยบายสนับสนุนให้พลเมืองกลั่นจินโดยไม่ต้องมีใบอนุญาต นี่คือการบิดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ที่นำไปสู่ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Gin Craze” หรือ “ความคลั่งไคล้จิน”

ยุคทองของจิน: เมื่อลอนดอนจมดิ่งในห้วงเหล้า
ลองจินตนาการถึงลอนดอนในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 ถนนแคบๆ ที่เรียงรายไปด้วยร้านค้าเล็กๆ และแผงลอย แต่ละร้านชูป้าย “Drunk for a penny, dead drunk for two pence” (เมาในราคา 1 เพนนี เมาหัวราน้ำในราคา 2 เพนซ์)
ระหว่างปี ค.ศ. 1695-1735 การผลิตจินในลอนดอนพุ่งทะยานราวกับติดจรวด จินกลายเป็นเครื่องดื่มราคาถูกที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะเป็นคนชั้นสูงหรือยากไร้ ลอนดอนจมอยู่ในวังวนของการดื่มจินอย่างไร้การควบคุม
“ถนนจิน” หรือ “Gin Lane” ภาพวาดเสียดสีโดย วิลเลียม โฮการ์ธ (William Hogarth) เป็นภาพสะท้อนสังคมลอนดอนยุคนั้นได้อย่างชัดเจน ภาพแสดงให้เห็นผู้คนที่เมามายจนสติแตก แม่ที่ปล่อยให้ลูกตกบันได และผู้คนที่กำลังจมดิ่งสู่ความหายนะ
ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นทำให้รัฐบาลต้องออกกฎหมายควบคุม:
พระราชบัญญัติจิน 1736: เพิ่มภาษีและค่าธรรมเนียมใบอนุญาตในการจำหน่ายจิน พระราชบัญญัติจิน 1751: ออกใบอนุญาตให้เฉพาะโรงเหล้า ผับ และโรงแรมเท่านั้น ห้ามขายจินในร้านค้าทั่วไป
กฎหมายเหล่านี้ช่วยลดการบริโภคจินและแก้ไขปัญหาสังคมที่เกี่ยวข้อง แต่จินยังคงเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมอังกฤษ
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่: กำเนิดลอนดอนดรายจิน
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 นวัตกรรมการกลั่นได้เปลี่ยนโฉมหน้าวงการจินไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อ Aeneas Coffey คิดค้นหม้อกลั่นแบบต่อเนื่อง (column still) ในปี ค.ศ. 1831 ทำให้สามารถผลิตเหล้าที่มีความบริสุทธิ์สูงขึ้น
จากนวัตกรรมนี้ เกิดสไตล์ “London Dry Gin” ที่มีรสชาติแห้ง สะอาด และเน้นกลิ่นจูนิเปอร์เบอร์รี่อย่างโดดเด่น น่าแปลกที่ชื่อ “London Dry Gin” ไม่ได้หมายความว่าต้องผลิตในลอนดอน แต่หมายถึงวิธีการผลิตที่ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดเฉพาะเท่านั้น
จินเดินทางไกล: จากยุโรปสู่อาณานิคมทั่วโลก
จินเดินทางไปพร้อมกับจักรวรรดิอังกฤษที่แผ่ขยายไปทั่วโลก และเกิดเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจในแต่ละดินแดน
ในอินเดีย ทหารอังกฤษมีปัญหากับโรคมาลาเรียที่ระบาดหนัก พวกเขาต้องดื่มน้ำโทนิกที่มีควินิน (ยาป้องกันมาลาเรีย) แต่รสชาติขมเกินจะทนไหว พวกเขาจึงผสมมันกับจินและมะนาว เกิดเป็นเครื่องดื่ม “จินแอนด์โทนิค” (Gin and Tonic) ที่กลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมไปทั่วโลก
ที่สิงคโปร์ในต้นศตวรรษที่ 20 บาร์เทนเดอร์ชาวชวาชื่อ Ngiam Tong Boon ประจำโรงแรม Raffles ได้คิดค้นค็อกเทลที่กลายเป็นตำนาน นั่นคือ “สิงคโปร์สลิง” (Singapore Sling) ซึ่งผสมจินกับน้ำผลไม้และลิเคียวร์ต่างๆ เพื่อให้สุภาพสตรีชั้นสูงได้ดื่มแอลกอฮอล์อย่างแนบเนียน

ยุคมืด: เมื่อจินถูกลืม
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กระแสความนิยมของจินเริ่มถดถอย เมื่อวอดก้าเข้ามารุกตลาด ด้วยภาพลักษณ์ที่ทันสมัยกว่า และการโฆษณาที่น่าดึงดูด วอดก้านำเสนอตัวเองเป็นเครื่องดื่มไร้กลิ่น ทำให้จินดูเชยและล้าสมัย
จินกลายเป็น “เครื่องดื่มของคุณยาย” ที่ไม่มีใครสนใจ ยกเว้นคนรุ่นเก่าที่ยังคงซื่อสัตย์กับมาร์ตินี่แก้วโปรดของพวกเขา
การฟื้นคืนชีพ: จาก “เครื่องดื่มคุณยาย” สู่ “เครื่องดื่มฮิปสเตอร์”
แต่แล้วในช่วงปลายทศวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 กระแสจินเริ่มฟื้นคืนชีพอีกครั้ง การเปิดตัวของ Bombay Sapphire ในปี ค.ศ. 1987 ด้วยขวดสีฟ้าสะดุดตาและรสชาติที่ซับซ้อนจาก 10 พฤกษชาติ ได้ปลุกความสนใจของนักดื่มรุ่นใหม่
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2000 เมื่อ Hendrick’s Gin เปิดตัวด้วยขวดทรงยาดองและรสชาติแปลกใหม่จากกุหลาบและแตงกวา ทำให้จินกลายเป็นเครื่องดื่มที่สร้างสรรค์และน่าค้นหาอีกครั้ง
การปฏิวัติจินแบบ Craft: จากโรงงานสู่โรงกลั่นขนาดเล็ก
ทศวรรษ 2000-2010 เกิดการปฏิวัติจินแบบ craft โรงกลั่นขนาดเล็กผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดทั่วโลก โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักร สเปน และสหรัฐอเมริกา
แต่ละโรงกลั่นนำเอกลักษณ์ท้องถิ่นมาผสมผสานในจินของตน เช่น:
- สมุนไพรท้องถิ่นจากป่าดำของเยอรมนีใน Monkey 47
- สาหร่ายทะเลและมะกอกในจิน Gin Mare จากสเปน
- มะเขือเทศและถั่วลันเตาในจิน Roku จากญี่ปุ่น
จินในวัฒนธรรมร่วมสมัย: จากบาร์สู่โซเชียลมีเดีย
ในยุคดิจิทัล จินได้กลายเป็นเครื่องดื่มที่มีสไตล์และเป็นที่นิยมในโซเชียลมีเดีย ค็อกเทลจินสีสันสดใสในแก้วทรงบาโลนขนาดใหญ่ ประดับด้วยผลไม้และสมุนไพร กลายเป็นอาหารตาที่สมบูรณ์แบบสำหรับ Instagram
กระแส “Gintonería” จากสเปนได้เปลี่ยนการดื่มจินแอนด์โทนิคธรรมดาๆ ให้เป็นประสบการณ์สุดพิเศษ ด้วยการเสิร์ฟในแก้วไวน์ทรงบาโลนขนาดใหญ่ พร้อมเครื่องเคียงสวยงามที่เลือกให้เข้ากับโน้ตกลิ่นรสของจินแต่ละแบรนด์
ค็อกเทลจินคลาสสิกก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น:
- Negroni: ส่วนผสมที่เท่ากันของจิน เวอร์มุทแดง และแคมปารี – รสขมที่สมบูรณ์แบบ
- Martini: จินกับเวอร์มุทแห้งในอัตราส่วนที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบาร์และบาร์เทนเดอร์
- Gimlet: จินกับน้ำมะนาวไลม์ – ความสมดุลของความเปรี้ยวและความแรงของแอลกอฮอล์
นวัตกรรมล่าสุด: อนาคตของจิน
ตลาดจินยังคงมีนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง:
- จินที่เปลี่ยนสี: จินอย่าง Empress 1908 Gin ที่ใช้ดอกอัญชันให้สีม่วงสวย และจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูเมื่อผสมกับโทนิค
- จินปรับแต่งตามฤดูกาล: โรงกลั่นผลิตจินเฉพาะตามฤดูกาลโดยใช้พฤกษชาติที่หาได้ในแต่ละช่วงเวลา
- จินไร้แอลกอฮอล์: ตอบสนองกระแสสุขภาพและความต้องการเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์
- จินที่เน้นความยั่งยืน: ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
จากอดีตสู่อนาคต: จินยังคงเดินทางไม่หยุดยั้ง
จากยารักษาโรคของหมอชาวดัตช์ในศตวรรษที่ 17 สู่เครื่องดื่มที่สร้างปัญหาสังคมในลอนดอนยุค Gin Craze จากเครื่องดื่มของคนรุ่นเก่าสู่เครื่องดื่มที่ฮิปที่สุดในยุคปัจจุบัน จินได้เดินทางผ่านประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน
วันนี้ จินไม่ใช่เพียงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ธรรมดา แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม เป็นงานศิลปะ และเป็นประสบการณ์ที่สร้างสรรค์ ความหลากหลายของรสชาติและประสบการณ์ที่จินมอบให้ ไม่มีวันสิ้นสุด เหมือนการเดินทางข้ามเวลาในทุกครั้งที่คุณจิบมัน
ครั้งหน้าเมื่อคุณยกแก้วจินแอนด์โทนิคขึ้นดื่ม ลองนึกถึงการเดินทางอันแสนยาวนานของเครื่องดื่มในมือคุณ จากห้องทดลองของหมอชาวดัตช์ สู่บาร์ชั้นนำทั่วโลกในปัจจุบัน และดื่มด่ำกับรสชาติที่มีประวัติศาสตร์…